ข่าวสาร & กิจกรรม
PSTC Leader in Power Supply Solution
and Renewable Energy
*PSTC ปักธงรายได้ปี63 โต 20% ตามธุรกิจหลัก - เตรียม CODโรงไฟฟ้าเพิ่ม-ตุนBacklog 3 พันลบ.
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(18 พฤศจิกายน 2562)--------------PSTC ปักธงรายได้ปี63 โต 20% ตามธุรกิจหลัก - เตรียม CODโรงไฟฟ้าเพิ่ม-ตุนBacklog 3 พันลบ. เผย ปี63 ทุ่มงบ 1 พันลบ. รองรับการลงทุนขยายธุรกิจ
นายภาณุ ศีติสาร ประธานกรรมการ บริษัทเพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PSTC เปิดเผยว่า บริษทัฯตั้งเป้ารายได้ปี 2563 เติบโต 20% ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของ 4 กลุ่มธุรกิจหลัง ได้แก่ ธุรกิจออกแบบและจำหน่ายติดตั้ง ระบบสำรองไฟฟ้า ธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ธุรกิจจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อ และธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมและระบบ(EPC)
ทั้งนี้ ในปี 2563 บริษัทฯคาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าจะมีการเติบโตอีก 20% จาก PPAที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้าบริษัทฯวางงบลงทุนไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนขยาย Private PPA จากปัจจุบันบริษัทฯมีใบอนุญาต 70 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯมีเป้าหมายที่จะมี Private PPA เข้ามา 30-50 เมกะวัตต์ต่อปีเพื่อมีใบอนุญาตในการซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ ภายในปี2564 ตามเป้าหมายที่วางไว้
อีกทั้ง บริษัทฯยังคงมองหาโอกาสขยายการลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในต่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับหน่วยงานภาครัฐหลายรายโดยบริษัทฯมั่นใจว่ามีศักยภาพเพียงพอที่จะขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยบริษัทฯตั้งเป้าว่าจะต้องได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR)ไม่ต่ำกว่า 10% ต่อโครงการ
สำหรับ ปัจจุบัน บริษัทฯมีบอนุญาตขายไฟทั้งสิ้น 70 เมกะวัตต์ โดยเป็นใบอนุญาตที่ขายไฟแล้ว 30 เมกะวัตต์ โดยแบ่งออกเป็น โครงการโซลาร์รูฟ 15 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งขายไฟแล้วทั้งสิ้น 8 เมกะวัตต์ จากขนาดโรงไฟฟ้า 9.9 เมกะวัตต์ และขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าชีวมวลยังมีใบอนุญาตอีก 23.4 เมกะวัตต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ขณะที่โครงการไบโอแก็ส ปัจจุบันบริษัทมีการขายไฟฟ้าแล้ว 7 เมกกะวัตต์ และภายในเดือนธันวาคมนี้จะมีการขายไฟฟ้าเพิ่มอีก 5.6 เมกะวัตต์ ด้วยเช่นกัน
ขณะที่ ธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมและระบบ(EPC)บริษัทฯยอมรับว่าปัจจุบันมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมทั้งการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้บริษัทฯมีโอกาสที่น้อยในการรับงานใหม่ แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ(Backlog)จำนวน 3,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่ง เป็นงานก่อสร้างคลัง SFC ที่จังหวัดระยองมูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่ง เป็นงานคลังน้ำมันและท่อน้ำมันของ TPN ที่บริษัทฯได้รับงานจาก บริษัท ไชน่า ปิโตรเลียม ไปไลน์ (CPP) โดยมูลค่างานดังกล่าวบริษัทฯจะมีการรับรู้เป็นรายได้ในระยะเวลา 2 ปี (63-64)
ส่วน ธุรกิจขายก๊าซปิโตรเลียม LPG นั้น ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าจากความร้อนและความเย็น ที่มีอายุสัญญาระยะ 10 ปี และสามารถต่อสัญญาได้อีก 5 ปี โดยบริษัทจะต้องลงทุนในการติดตั้งถังบรรจุด LNG มูลค่ารวมราว 40 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปการเซ็นสัญญาขาย LNG ได้ภายในสัปดาห์นี้ (18-22 พ.ย.62) ซึ่งบริษัทฯมองว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นการสร้างรายได้ประจำระยาวให้แก่บริษัทฯได้
"ภายในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า เรามีเป้าหมายที่จะทำให้บริษัทฯมีสัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มเป็น 50%"ของพอร์ต ไม่ว่าจะมาจากโครงการที่เราได้ลงทุนขนาดใหญ่ของ TPN ส่วนหนึ่ง รวมทั้ง Private PPA Solar roof ที่เรากำลังเริ่มขยายไปยัง 200 MW ตามแผนภายใน 3ปี รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าเดิมของเราด้วย ซึ่งปัจจุบันภาครัฐให้การสนับสนุนโครงการพลังงานทางเลือกมากขึ้น " นายภาณุ กล่าว